ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ กองบังคับการตำรวจนครบาล ๖ ให้ทุกหน่วยในสังกัดทำการปราบปรามขยายผลจับกุมผู้ค้ายาเสพติดเพื่อลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ
พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น. (รับผิดชอบงานปราบปรามยาเสพติด)
พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น.(รับผิดชอบงานสืบสวน)
พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.๖
พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รอง ผบก.น.๖
พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.น.๖
พ.ต.อ.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผกก.สส.บก.น.๖ ได้อำนวยการสั่งการให้
ร.ต.อ.ชนทัช เฉลาประโคน สว.กก.สส.บก.น.๖
ร.ต.อ.ธนศักดิ์ ปราสาททอง รอง สว.กก.สส.บก.น.๖
ร.ต.ท.ฉัฐวัฒน์ สิริเบญจศักดิ์ รอง สว.กก.สส.บก.น.๖ และ
ชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ ๒ กก.สส.บก.น.๖ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส.
ให้ทำการปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติด โดยให้ขยายผลการจับกุมไปยังเครือข่ายให้มีผลเป็นรูปธรรม นั้น กก.สส.บก.น.๖ ได้ยึดแนวนโยบายของท่าน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.๖ ที่ได้มอบหมายว่า “อาชญากรรมต้องลด ยาเสพติดต้องหมดไป” จึงได้ทำการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาและขยายผลทำลายเครือข่ายได้ โดยร่วมกันทำการจับกุมผู้ต้องหาดังนี้ คือ
๑. ดาบตำรวจจิรวัฒน์ หรือวัฒน์ มาไกล อายุ ๔๘ ปี
๒. นายชัยณรงค์ หรือโหน่ง เจริญ อายุ ๓๕ ปี
๓. นางสาวธัญพิมล หรือแตน มะโนจี๋ อายุ ๔๒ ปี
๔. เด็กหญิงมาย (นามสมมุติ) อายุ ๑๓ ปี
๕. นายภาณุพงศ์ หรือตั้ม คงใย อายุ ๒๘ ปี
๖. นายโกศล หรือหนุ่ม ชมบ้านแพ้ว อายุ ๒๗ ปี
๘. นายปกรณ์ หรือ มอส พรหมรักษา อายุ ๒๑ ปี
๘. นายวีรพงศ์ หรือ แดง แก้วบุตร อายุ ๒๒ ปี
๙. นายสุเมธ หรือ เกมส์ สุดทรวง อายุ ๑๙ ปี
๑๐. นายทิชากร หรือ นุ๊ก ยั่งยืน อายุ ๒๔ ปี
พร้อมด้วยของกลางคือ
๑. ยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เม็ด บรรจุอยู่ในถุงหิ้วกระสอบปุ๋ยอีกทีหนึ่ง จำนว ๓ กระสอบ ยึดได้จากบริเวณเบาะผู้โดยสารแถวที่ ๓ ในรถตู้ ของกลางรายการที่ ๓
๒. ยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ เม็ด ยึดได้จากบริเวณท้ายรถกระบะของกลางรายการที่ ๔
๓. รถตู้ ยี่ห้อ โตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน นข -๑๖๗๑ น่าน (ผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่)
๔. รถกระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ หมายเลขทะเบียน ๑ฒช ๓๘๗๕ กรุงเทพมหานคร(ผู้ต้องหาที่ ๕ เป็นผู้ขับขี่)
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”
สถานที่จับกุม บริเวณถนน หน้ารังสิตซอกเกอร์คลับ เลขที่ ๓๙ ม.๖ ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี
พฤติการณ์แห่งการจับกุม เมื่อวันที่ ๒๘ มี.ค.๕๘ เวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.๖ ได้รับแจ้งจากสายลับ (ขอปกปิดนาม) ว่าสามารถติดต่อผู้จำหน่ายยาเสพติดและนำชี้สถานที่ส่งมอบยาเสพติด ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานีได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.๖ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและร่วมทำการประชุมวางแผนเพื่อทำการจับกุมและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ บช.ปส.
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น.ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้วางกำลังตามแนวเส้นทางที่คาดว่าผู้ขนยาเสพติดดังกล่าวจะนำรถมาจอดเพื่อส่งมอบยาเสพติดให้กับลูกค้าและสายลับ ต่อมาได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้ใช้โทรศัพท์ พูดคุยกับผู้ที่จะนำยาเสพติดมาส่งให้ (ทราบภายหลังคือผู้ต้องหาที่ ๓) ได้แจ้งให้สายลับทราบว่า ได้ขับขี่รถตู้สีเทา มาส่งยาเสพติด โดยจะจอดบริเวณริมถนนด้านหน้าโรงพยาบาลภัทร อำเภอคลองหลวง จังหวัด ปทุมธานี
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำกำลังไปซุ่มรออยู่บริเวณใกล้เคียงดังกล่าว จนกระทั่งเวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น.ของวันเดียวกัน ได้มีรถกระบะยี่ห้อ อีซูซุ สีขาว ทะเบียน ๑ฒช-๓๘๗๕ กทม. (ของกลางรายการที่ ๔) มาจอดเปิดไฟเลี้ยวซ้ายอยู่ที่บริเวณริมถนนหน้ารังสิตซอกเกอร์คลับ เลขที่ ๓๙ ม.๖ ถ.พหลโยธิน ที่เกิดเหตุ สักครู่หนึ่ง จึงได้รถตู้สีเทา (ของกลางรายการที่ ๓) ซึ่งตรงตามที่สายลับได้แจ้งไว้ มาจอดที่บริเวณด้านท้ายรถยนต์กระบะที่จอดเปิดไฟอยู่ดังกล่าว และได้มีชายไทยไม่ทราบชื่อ (ภายหลังคือผู้ต้องหาที่ ๒) ได้เดินลงมาจากรถตู้ด้านเบาะข้างคนขับและขนถุงลักษณะเป็น กระสอบออกจากรถตู้ (ของกลางรายการที่ ๓) จำนวน ๑ ถุง ไปวางไว้ที่บริเวณกระบะท้ายรถกระบะ (ของกลางรายการที่ ๔) และกำลังเดินกลับไปขึ้นรถตู้ ซึ่งเชื่อว่าได้นำยาเสพติดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในถุงดังกล่าวมาส่งมอบให้กัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงบัตรเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ให้ทราบ ขอทำการตรวจค้นตัวผู้ต้องหาที่ ๒ และรถทั้ง ๒ คัน (ของกลางรายการที่ ๓ และ ๔) ดังกล่าว ผลการตรวจค้นตัวผู้ต้องหาที่ ๒ ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย.
ส่วนการตรวจค้นรถตู้ พบยาเสพติดของกลางรายการที่ ๑ อยู่ในรถตู้ดังกล่าว และพบผู้ต้องหาที่ ๑,๓,๔ อยู่ในรถตู้ โดย ผู้ต้องหาที่ ๑ เป็น ผู้ขับขี่ จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ ๑ รับว่าได้ร่วมกับผู้ต้องหาที่ ๓ ซึ่ง ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้า และ เจ้าของยาเสพติด ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ผู้ต้องหาที่ ๓ เรียกว่า พี่หรือเฮีย ชาวพม่า ซึ่งใช้โทรศัพท์มือถือ หมายเลข ...............นำยาเสพติด (ของกลางรายการที่ ๑) มาส่งมอบให้ผู้ต้องหาที่ ๖ ซึ่งเป็นลูกค้าบริเวณที่เกิดเหตุจริง โดยได้ขนยาเสพติดลงมาจากจังหวัดเชียงรายเพื่อส่งให้ลูกค้า (ผู้ต้องหาที่ ๖) และลูกค้ารายอื่นรวม ๕ ราย นอกจากนี้ยังพบบัญชีรายชื่อลูกค้าตามเจ้าของยาเสพติดที่เขียนไว้ในกระดาษ (ตามของกลางรายการที่ ๑๒) และยังพบผู้ต้องหาที่ ๔ ซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้ต้องหาที่ ๑ นั่งโดยสารมาในรถตู้ดังกล่าว และจากการตรวจค้นรถกระบะ (ของกลางรายการที่ ๔) พบยาเสพติดของกลางรายการที่ ๒ บริเวณท้ายรถกระบะดังกล่าว และพบผู้ต้องหาที่ ๕ เป็นผู้ขับขี่ โดยมี ผู้ต้องหาที่ ๖ และที่ ๗ นั่งมาในรถด้วย จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ ๖ รับว่าเป็นผู้ทำหน้าที่สั่งซื้อยาเสพติดจากเจ้าของยาเสพติด โดยเจ้าของยาเสพติดได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ ๓ เป็นผู้นำยาเสพติดมาส่งให้กับผู้ต้องหาที่ ๖ จริง
เนื่องจากเครือข่ายนี้ได้มีการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ระบาดยาเสพติดหลายจังหวัด เช่น ระยอง, สระบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ และเขตบางนา กรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่ภาคใต้อีกหลายจังหวัด ทาง กก.สส.บก.น.๖ ได้ร่วมปฏิบัติกับ ปปส., บช.ปส. และกองกำกับการสืบสวนจังหวัดระยอง ร่วมกันขยายผลในพื้นที่จังหวัดระยองจนสามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้เพิ่มเติมอีก ๑ รายคือ
นายทิชากร หรือนุ๊ก ยั่งยืน อายุ ๒ ปี บ้านเลขที่ ๔ ซ.ทุ่งสำนัก-มาบใน ถ.ทางหลวงระยอง สาย ๓๑๙๑ ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
จับได้ที่บริเวณริมถนนสาย ๓๑๙๑ ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง โดยกล่าวหาว่า “มียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” จากการจับกุมในครั้งนี้ทำให้ทราบว่า เครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดระยองมีความเกี่ยวข้องกับผู้ค้ายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่องจนได้ทราบถึงเครือข่ายในจังหวัดระยอง และจังหวัดใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ตรวจยึดยาเสพติดของกลางได้ปริมาณมากถึง ๑,๒๐๐,๐๐๐ เม็ด
นับเป็นการทำลายวงจรเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดครั้งสำคัญ เนื่องจากสามารถสกัดยาเสพติดไม่ให้นำมาจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก และการขยายผลจับกุมครั้งนี้ ใช้เวลาเพียง ๒ คืน ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่จำกัดตามกฏหมาย จึงต้องใช้ความมานะ อุตสาหะ ในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง