พ.ต.อ.อุทาสิน ฤทธิ์เรืองเดช รอง ผบก.น.6 เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์เฝ้าระวังอัคคีภัยช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยมี
พ.ต.อ.ชาญศิริ สุขรวย ผกก.สน.พลับพลาไชย 1 ข้าราชการตำรวจ และคณะ กต.ตร.สน.พลับพลาไชย 1 เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตป้อมปราบฯ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสายปัญญา โรงเรียนวัดคณิกาผล และโรงเรียนวัดพลับพลาชัย ภาครัฐ, ภาคเอกชน, และกองกำกับการม้าตำรวจ พร้อมม้า 4 ตัว
เข้าร่วมในพิธีการเปิดโครงการนี้กับอย่างคับคั่ง
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นสืบเนื่องจากในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ที่พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ สน.พลับพลาไชย 1 จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน และมีการจุดธูป-เทียน ไหว้เจ้าเป็นในที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก บางครอบครัวไหว้เจ้าเสร็จก็ออกไปข้างนอกที่พักอาศัย หรือบางครอบครัวปิดบ้านพักและปิดร้านค้าเดินทางไปไหว้พระหรือไปพักผ่อนต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวัน อีกทั้งบางครอบครัวจุดธูป-เทียนทิ้งไว้ ลืมดับก่อนออกจากบ้านพักอาศัยอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ได้
สำหรับการเดินรณรงค์ในเขตพื้นที่ในวันนี้นั้น จะมีการแจกแผ่นพับ ติดป้ายประชาสัมพันธ์และใช้เครื่องขยายเสียงเดินรณรงค์ ตั้งแต่หน้าสน.พลับพลาไชย 1 ไปตามถนนพลับพลาไชย ถนนหลวง ถนนมหาจักร ถนนเจริญกรุง และเดินกลับ เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่พักอาศัยหรือค้าขายในย่านดังกล่าว ได้มีการป้องกันอัคคีภัยเกี่ยวกับการจุดธูป-เทียน และระบบไฟฟ้าให้ประชาชนได้ทราบ ในการระมัดระวังการจุดธูป-เทียน และต้องดับทุกครั้งหลังจากไหว้เสร็จหรือก่อนออกจากที่พักอาศัยเพื่อเป็นการป้องกันไฟไหม้
พ.ต.อ.ชาญศิริ กล่าวว่า ทาง บช.น. จัดให้มีการรณรงค์โครงการดังกล่าวร่วมกับหลายหน่วยงานด้วยวิธีการเดินแจกเอกสารแผ่นพับ และใบปลิวประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนไม่ให้ประชาชนประมาท และมีความตื่นตัวในป้องกันการเกิดอัคคีภัยในท้องที่และโรงพักใกล้เคียง เพราะสภาพอากาศช่วงเทศกาลตรุษจีนค่อนข้างแห้งแล้ง และที่ผ่านๆ มามีการเกิดอัคคีภัยบ่อยครั้ง ในปีที่แล้วมีจำนวน 3 ราย ในปีนี้จึงมีการเตือนก่อนเกิดเหตุ เพราะสาเหตุส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความประมาทและพลั้งเผลอ
พ.ต.อ.ชาญศิริ กล่าวต่อว่า หลังจากเดินรณรงค์โครงการนี้แล้ว ผลตอบรับที่ได้ คือ ประชาชนตื่นตัวและไม่ประมาทพร้อมระวังตัวมากขึ้น หลังจากวันนี้ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนจะมีช่องว่างอยู่ จึงได้จัดทำโครงการเสริม “โครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย” โดยให้เพื่อนบ้านเตือนภัยกันเอง และจะมีอาสาเครือข่าย เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งช่วยเฝ้าระวัง เมื่อเกิดเหตุจะเข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที อีกทั้งจะสามารถดูแลผู้ที่จะเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ได้ครอบคลุมมากขึ้นอีกด้วย
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นสืบเนื่องจากในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ที่พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ สน.พลับพลาไชย 1 จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน และมีการจุดธูป-เทียน ไหว้เจ้าเป็นในที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก บางครอบครัวไหว้เจ้าเสร็จก็ออกไปข้างนอกที่พักอาศัย หรือบางครอบครัวปิดบ้านพักและปิดร้านค้าเดินทางไปไหว้พระหรือไปพักผ่อนต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวัน อีกทั้งบางครอบครัวจุดธูป-เทียนทิ้งไว้ ลืมดับก่อนออกจากบ้านพักอาศัยอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ได้
สำหรับการเดินรณรงค์ในเขตพื้นที่ในวันนี้นั้น จะมีการแจกแผ่นพับ ติดป้ายประชาสัมพันธ์และใช้เครื่องขยายเสียงเดินรณรงค์ ตั้งแต่หน้าสน.พลับพลาไชย 1 ไปตามถนนพลับพลาไชย ถนนหลวง ถนนมหาจักร ถนนเจริญกรุง และเดินกลับ เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่พักอาศัยหรือค้าขายในย่านดังกล่าว ได้มีการป้องกันอัคคีภัยเกี่ยวกับการจุดธูป-เทียน และระบบไฟฟ้าให้ประชาชนได้ทราบ ในการระมัดระวังการจุดธูป-เทียน และต้องดับทุกครั้งหลังจากไหว้เสร็จหรือก่อนออกจากที่พักอาศัยเพื่อเป็นการป้องกันไฟไหม้
พ.ต.อ.ชาญศิริ กล่าวว่า ทาง บช.น. จัดให้มีการรณรงค์โครงการดังกล่าวร่วมกับหลายหน่วยงานด้วยวิธีการเดินแจกเอกสารแผ่นพับ และใบปลิวประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนไม่ให้ประชาชนประมาท และมีความตื่นตัวในป้องกันการเกิดอัคคีภัยในท้องที่และโรงพักใกล้เคียง เพราะสภาพอากาศช่วงเทศกาลตรุษจีนค่อนข้างแห้งแล้ง และที่ผ่านๆ มามีการเกิดอัคคีภัยบ่อยครั้ง ในปีที่แล้วมีจำนวน 3 ราย ในปีนี้จึงมีการเตือนก่อนเกิดเหตุ เพราะสาเหตุส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความประมาทและพลั้งเผลอ
พ.ต.อ.ชาญศิริ กล่าวต่อว่า หลังจากเดินรณรงค์โครงการนี้แล้ว ผลตอบรับที่ได้ คือ ประชาชนตื่นตัวและไม่ประมาทพร้อมระวังตัวมากขึ้น หลังจากวันนี้ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนจะมีช่องว่างอยู่ จึงได้จัดทำโครงการเสริม “โครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย” โดยให้เพื่อนบ้านเตือนภัยกันเอง และจะมีอาสาเครือข่าย เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งช่วยเฝ้าระวัง เมื่อเกิดเหตุจะเข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที อีกทั้งจะสามารถดูแลผู้ที่จะเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ได้ครอบคลุมมากขึ้นอีกด้วย
ที่มา นสพ.เดลินิวส์ออนไลน์ เมื่อ 5 ม.ค.2556